บทที่ 6 ก้านคอ..... (หลับ)
.
.
.
ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก โจ้ก็พาวินมาถึงหอพัก แล้วช่วยขนย้ายของขึ้นหลังรถ โดยที่วินเองก็ผละไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่นกัน
“เจ๊ มันจะไม่มากไปหน่อยหรอครับ?” วินถามเสียงนิ่ง มองจ้องหญิงสูงวัยตรงหน้าที่เรียกได้ว่าเป็นอาม่าอ้วนท้วมสมบูรณ์ กำลังนั่งเล่นจ้องตากันอยู่สองคน โดยที่มีผู้ดูแลหอพักยืนมองอยู่ห่างๆ
“มากไปยังไง ลื๊อค้างเงินอั๊วมาตั้ง 4 เดือน!”
“แค่ 3 พอครับ เดือนนี้เดือนที่ 4 แถมนี่มันยังแค่กลางเดือนอยู่เลย ยังไม่ถึงรอบด้วยซ้ำ”
“ยังไงลื๊อก็ต้องจ่าย ค่าเสียหายที่ลื๊อเบี้ยวเงินอั๊วล่ะ! มันก็ต้องมีดอกเบี้ย!”
“ถึงมันจะมีดอกเบี้ย มันก็ไม่ควรจะเอาเงินผมไปหมดแบบนี้ไหม! นี่อะไร! ผมจ่ายเงินไป 4 เดือน ทั้งที่มันควรจะเป็น 3 เดือนครึ่ง เจ๊ไม่ทอนผมไม่พอ ยังเก็บเงินมัดจำผมอีก!” วินตะคอกออกมาเสียงดังลั่น ทำให้โจ้ที่ยืนพิงประตูรถรออยู่ข้างนอกต้องเดินตบเท้าเข้ามาใกล้
“คืนเงินเด็กมันไปดีกว่าน่าเจ๊ เด็กมันต้องกินต้องใช้” โจ้พูดเสียงนิ่ง แต่ทำให้คนฟังหันขวับมามองได้ไม่ยากเย็นนัก
“ลื้อเป็นใคร! ไม่เกี่ยวก็ออกไปไป๊!”
“ผมเป็นผู้ปกครองของไอ้เด็กนี่ และถ้าเจ๊ยังไม่ยอมคืนเงินมันพร้อมกับเงินมัดจำ เจ๊อาจจะได้ไปนอนกินข้าวแกงในคุกนะเจ๊” โจ้พูดเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม หากแต่คนเป็นเจ้าของหอพักยังคงเชิดหน้าพูดต่ออย่างไม่เกรงกลัว
“อั๊วไม่ได้ทำอะไรผิด! ทำไมอั๊วจะต้องกลัว!” โจ้หันไปหาวินพร้อมกับแบมือออก บอกสิ่งที่ต้องการ
“บิลค่าน้ำ ค่าไฟ” วินหยิบใบแจ้งค่าน้ำค่าไฟออกมาส่งให้ไม่อิดออด โจ้รับมาพร้อมชูขึ้นตรงหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ
“ค่าน้ำค่าไฟ เจ๊เก็บมากกว่าที่กฎหมายกำหนด นี่อะไร ค่าไฟหน่วยละ 18 ค่าน้ำหน่วยละ 20 ขูดเลือดขูดเนื้อขนาดนี้ผมยังแปลกใจ ทำไมถึงยังอยู่ได้อีก ไม่เป็นไร ถ้าเจ๊ไม่คืนเงินเด็กมัน ผมจะไปเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากเรื่องพวกนี้แทน งั้นผมลาเลยแล้วกัน ไม่อยากเสียเวลา” ว่าพร้อมกับหมุนกายหันหลัง คล้องคอของวินให้เดินตามไปด้วย ทิ้งคนเป็นเจ้าของหอพักยืนหน้าซีดปากสั่นไว้เบื้องหลัง ยังไม่ทันจะเดินผ่านพ้นบานประตู เสียงแหลมเล็กก็เรียกร้องเอาไว้ดังลั่น
“เดี๋ยว!!” โจ้กระตุกยิ้มมุมปาก เหลียวกลับไปมอง เลิกคิ้วขึ้นช้าๆ พร้อมกับยักคิ้วจึ้กๆ เป็นการอ้อนตีน
“ตกลงจะเอาไงเจ๊ เสียเวลาผมนะเนี้ย” คนเป็นเจ้าของหอพักชักสีหน้าใส่ ก่อนจะหยิบเงินจากกระเป๋าออกมา แล้ววางลงบนโต๊ะเสียงดัง พูดด้วยเสียงดังลั่นแสบแก้วหู
“ได้เงินคืนแล้วก็ไสหัวออกไปซะ!!!”
“ก็แค่นั้น” พูดพร้อมตบบ่าของวินไปพลาง วินจึงหมุนตัวแล้วหยิบเงินนั้นคืนกลับมา ก่อนจะหันไปหาผู้ดูแลหอ ยกมือไหว้ลาแล้วออกจากหอพักในที่สุด
“ไอ้วิน เดี๋ยวกูแวะซื้อของแป๊บหนึ่งนะ” วินพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร ต่างกับโจ้ที่ยกมือขึ้นจับเส้นผมของตัวเองหมุนไปมาเบาๆ ใช้ความคิด
“มึงว่ากูทำผมสีไรดีวะ” วินกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ยคำบ่นออกไป
“ไอ้พี่ มึงทำมาครบทุกสีแล้ว จะขาดก็แต่สีรุ้งแล้วล่ะพี่มึง”
“เออ ความคิดแม่งแจ่มว่ะ เดี๋ยวกูไปเหมาสีมาให้หมดเลยแม่ง” พูดชมเชยด้วยความดีอกดีใจ ก่อนที่รถจะจอดลงที่หน้าร้านขายอุปกรณ์เสริมสวยที่ใกล้ปิดร้านเต็มที และเพียงไม่นานนัก โจ้ก็กลับขึ้นรถมาด้วยแชมพูเปลี่ยนสีผมกว่า 16 กล่อง
“ไอ้พี่ นี่มึงเอาจริง?”
“เออ ไว้ไปถึงร้านแล้วมึงตามไอ้เจมาทำผมให้กูหน่อย” วินขมวดคิ้วมอง
“ทำไมต้องไอ้เจ?”
“ก็มันช่วยกูทำสีผมบ่อยแล้ว แต่ละสีก็มันทั้งนั้นที่แนะนำให้กูทำ”
“เออๆ เดี๋ยวบอกมันให้” โจ้พยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก นอกจากร้องเพลงคลอไปเบาๆ ระหว่างขับรถ
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็เดินทางมาถึงร้าน โจ้กับวินช่วยกันขนของลงจากหลังรถโดยที่มีเจเข้ามาช่วยขนของอีกแรง แล้วมุ่งตรงไปที่ชั้น 3 ของผับ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของอย่างโจ้
“มึงนอนโซฟาไปแล้วกันนะ” วินพยักหน้ารับไม่มีอิดออด วางข้าวของเสร็จก็เดินลงไปข้างล่าง ทิ้งโจ้กับเจไว้ในห้องน้ำที่มีเสียงก่นด่าสบถดังลั่นไปมา ลงไปทำงานของตัวเองต่อด้วยความกลัดกลุ้มใจ มองเงินในมือที่เหลืออยู่ไม่กี่บาทแล้วก็ท้อแท้ เพราะยังต้องจ่ายค่ามัดจำ ค่าหอพัก และค่าจองห้องอีก แถมตอนนี้ก็เป็นช่วงกลางเดือน คนจะย้ายออกเช่นตนนั้นหายากยิ่งกว่าเข็มในมหาสมุทร
“เอาว่ะ หาไม่ได้ก็เกาะพี่โจ้แดกแม่งงี้แหละ” ทำงานต่อไปไม่นานนักก็ถึงเวลาปิดร้าน ในขณะที่คนอื่นๆ ช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่โจ้กับเจยังคงหายไปด้วยกันจนวินนึกแปลกใจ
เมื่อพนักงานทุกคนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว วินก็เดินตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วร้าน ปิดล็อกประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนา แล้วจึงเดินกลับขึ้นไปที่ชั้น 3 ของร้าน เห็นว่าเจกำลังนั่งเป่าผมให้พี่โจ้อยู่ โดยที่คนโดนเป่าผมก็ก้มหน้าก้มตาตรวจสอบบัญชี
“ปิดร้านเสร็จแล้วหรอว่ะ”
“อืม สีผมมึงสวยดีไอ้พี่” วินกัดฟันชมพร้อมฉีกยิ้มส่งให้ ในขณะที่คนโดนชมมองแรง
“เหอะ มึงไม่ต้องมากัดกูไอ้วิน กูรู้สภาพหัวกูดี” ว่าพร้อมเหลือบตาไปมองคนตัวเล็กที่กำลังนั่งเป่าผมให้ เจยิ้มแหย่ออกมา ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษขอโพย
“พี่มึง กูขอโทษไงว่ะ แม่ง มึงต้องเข้าใจกูดิ”
“ไม่เข้าใจ! กูไม่เข้าใจว่ามึงแดกอะไรเป็นอาหาร ความจำมึงถึงได้สั้นขนาดนี้ มึงดูหัวกูนี่!! นี่มันสีเหี้ยอะไร๊!” โจ้โยนปากกาทิ้งอย่างแรงด้วยอารมณ์โมโหโกรธา เพราะสีผมตอนนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนเลยด้วยซ้ำ เพราะไอ้น้องตัวดี มันทำสีไปทำสีมา มันเสือกลืมซะงั้นว่าก่อนหน้านี้คือสีอะไร สุดท้ายมันก็เอามายำเละจนสีหัวตอนนี้ไม่ต่างจากขรี้เลยสักนิด!!
“มึงจะเอาอะไรกับกูว่ะพี่! กูมานั่งทำสีผมให้ก็บุญหัวมึงแล้วนะ!”
“กูแม่งอยากจะก้มลงกราบเลยไอ้สัส ขอบคุณคร้าบบบ ที่มึงทำให้สีหัวกูมันฉิบหาย ขอบคุณมึงมากเลยคร้าบไอ้เตี้ย!”
“โว๊ะ! เป่าหัวเองเลยไปแม่ง!”
โป๊ก!
ว่าพร้อมโยนไดร์เป่าผมใส่คนเป็นเจ้าของร้าน และเพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว ไดร์เลยโขลกเข้ากับหนังหัวเต็มๆ ไม่มีออมแรง
“ไอ้เตี้ยยยยยยยย มึงตาย!!!” โจ้ร้องลั่นพร้อมกับวิ่งไล่เตะเจไปทั่วห้อง ไอ้เพื่อนตัวเล็กก็ใช้ตัวเขาเป็นโล่กำบัง ทำให้ฝ่าเท้างามๆ ของไอ้พี่ยันเข้าที่อกเต็มแรง จนล้มหน้าหงายทับกับไอ้คนต้นเรื่องที่อยู่ด้านล่าง
ตุ้บ!
“เฮ้ย!! ไอ้เตี้ย! เป็นไรไหมว่ะ!”
“ไอ้พี่!! มึงถีบกูเนี้ย! สนใจกูก่อนไหม!” วินร้องโวยวาย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น ไม่ลืมที่จะฉุดแขนของเพื่อนตัวเล็กให้ลุกขึ้นตามไปด้วย
“อ้าว มึงก็ล้มหรอไอ้วิน” โจ้หันมาพูดแค่นั้น แล้วขยับเข้าไปดูตามเนื้อตัวของไอ้เจเพื่อนสนิท จับหมุนไปหมุนมาหาร่องรอยบาดแผล เมื่อเห็นว่าไม่ได้บาดเจ็บที่ไหนก็วางใจ
“เดี๋ยวกูไปส่งไอ้เตี้ยก่อน มึงก็อาบน้ำเข้านอนเลยแล้วกัน คืนนี้กูไม่กลับ”
“ทำไมต้องไปส่ง? รถมันก็มี?”
“เรื่องของกู ไม่เสือกดิครับ” ว่าจบก็คว้าคอของเจ แล้วดันให้เดินออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงสงสัยของวินที่มองส่งจนลับสายตา ยักไหล่ไม่สนใจ หมุนตัวไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วนอนพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนอีก แม้ว่าพึ่งจะผ่านเทศกาลปีใหม่มาได้แค่ 2 – 3 วันก็ตามที คิดได้ดังนั้นจึงล้มตัวลงนอน จมลงสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
แสงในยามเช้าสาดส่องไปทั่วห้องกว้าง เรียกร้องให้คนที่พึ่งเข้าสู่นิทราหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ วินปรือตามองออกไปรอบๆ ตัวด้วยความฉงนใจ แต่เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบเมื่อคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้อย่างถี่ถ้วน เหลือบตามองนาฬิกาที่ข้างฝา บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลากว่า 7 โมงเช้า หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนไปถึง 5 ชั่วโมง
วินหยัดกายลุกขึ้นจากโซฟา บิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วจึงหยิบเสื้อผ้า ด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนเอาเข้าห้องน้ำไปด้วย เมื่อจัดการตัวเองในตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากห้องในเวลา 8 โมงเช้า โดยที่มีชีทเรียนแหน็บอยู่ที่กระเป๋าหลัง ปากกาเสียบไว้กับเสื้อช็อปสีเลือดหมูประจำคณะ หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ ก่อนจะออกจากผับของพี่โจ้ไป
สองเท้าของวินก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอ แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ข้างทาง แล้วเดินกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงมหาลัยในที่สุด เพราะไม่ได้ร่ำรวยมีเงินถุงเงินถัง จึงไม่ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือแม้แต่จักรยานเอาไว้ใช้เดินทางเหมือนคนอื่นๆ หากว่ามีเวลา วินก็เลือกที่จะเดินเท้าแทนเพื่อเป็นการประหยัดเงิน แม้จะเป็นจำนวนเงินน้อยนิด หากแต่ช่วยต่อชีวิตให้อิ่มไปได้อีกมื้อ
ดังนั้นแล้ววินจึงมีรูปร่างที่ดี ไม่มีไขมันส่วนเกิน เพราะใช้การเดินเท้าไปเรียนเป็นการออกกำลังกาย กินแค่พออิ่ม ประทังความหิวโหยไปได้ และทำงานใช้แรงแทนการนอนอยู่เฉยๆ บนเตียง
ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป.....
บางครั้งก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาคนอื่นๆ ไม่ได้ เมื่อมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ได้กินอิ่มนอนหลับไม่ต้องดิ้นรน หากแต่นั่นก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ตอนนี้วินมีเรื่องราวต่างๆ ให้คิดถึงมากกว่า เช่น วันนี้จะกินข้าวกับอะไร จะมีเงินพอใช้ไหม จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าห้อง จะหาห้องพักราคาถูกได้จากที่ไหน และอื่นๆ อีกมากมายก่ายกองที่ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทั้งสิ้น
“มาช้านะมึง” เสียงของแบงค์ร้องทักขึ้น เมื่อหันมาเจอวินที่กำลังเดินเข้ามาหา
“เออ กูเดินมา” ตอบกลับพร้อมกับทรุดตัวลงนั่ง ตบหัวไอ้บาสไปหนึ่งที ที่มันก้มหน้าก้มตาเล่นเกมจนไม่ยอมขยับที่นั่งให้
“นี่ครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มประดุจคุณชายลงมาจุติดังขึ้นจากปากของสายธาร หรือไอ้ธาร ชายผู้ได้ชื่อว่าอบอุ่นจนเป็นไมโครเวฟ สายธารวางแก้วกาแฟลงตรงหน้า ในขณะที่อีกมือก็แจกจ่ายให้กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ด้วย
“แล้วนี่ไอ้เจไปไหน” ร้องถามพร้อมยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ไม่ใช่กาแฟราคาแพงอะไรหรอก ก็กาแฟซองละ 5 บาท ตามเซเว่นนั่นแหละ
“เดี๋ยวมันก็มามั้ง” ว่ายังไม่ทันจบ รถที่คุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบข้างๆ โต๊ะกลมที่นั่งกันอยู่หน้าคณะ เห็นไอ้เพื่อนตัวเล็กกระโดดจากลงรถ พร้อมกับตะโกนด่าใครอีกคนไปพลาง
“พี่โจ้มาส่งมึง?” วินเปิดปากถามก่อนใครเพื่อน ไอ้เจก็พยักหน้ารับแก่นๆ
“เออ ก็เมื่อวานพี่มันไปส่งกู วันนี้เช้ามันเลยอาสามาส่งเพราะรถอยู่ที่ร้าน”
“แล้วตอนเย็นจะไปทำงานยังไง?”
“ก็นั่งรถเมล์ไปมั้ง ไม่ก็วิน ไม่ก็เดินเป็นเพื่อนมึง” วินส่ายหน้าไปมาแล้วอธิบายให้เพื่อนตัวเตี้ยเข้าใจ
“วันนี้ตอนบ่ายกูจะไปหาหอพัก”
“เออว่ะ แต่ตอนบ่ายมีรับน้องนะมึง มึงเป็นพี่ว๊ากด้วย โดดบ่อยๆ พวกแม่งเขม่นเอานะ”
“กูไม่ได้เต็มใจเป็น พวกแม่งจับกูไปลงเอง กูบอกแล้วว่ากูไม่ว่าง” ยักไหล่แบบไม่แคร์ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านเพื่อนอย่างขะมักเขม้นมือเป็นประวิงกับไอ้เจสองคน ส่วนคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
เพื่อนของผมมีทั้งหมด 4 คน คนแรกก็คือไอ้เจ บ้านมันก็ฐานะกลางๆ พ่อทำงานเป็นพนักงานโรงงาน แม่เปิดร้านอาหาร ส่วนตัวมันเองก็มาเรียนในกรุงเทพ ทำงานหาเงินเพื่อลดค่าใช้จ่ายของทางบ้าน ไอ้เจมันเป็นคนตัวเล็ก เรียกได้ว่าตัวเตี้ยที่สุดในกลุ่ม เพื่อนๆ ก็เลยชอบโอ๋มัน ดูแลประคบประหงมเหมือนไข่ในหิน มันไม่เก่งเรื่องต่อยตี เพราะงั้นเวลามีเรื่องทีก็จะอยู่ตรงกลางของกลุ่ม ป้องกันไม่ให้ใครทำร้ายมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคนจริงใจ มีร้อยให้ร้อย มีล้านให้ล้าน ถือเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
คนถัดมาก็ไอ้บาส ชื่อบาส แต่แม่งเก่งบอล เทียบชั้นสูสีกับผม แต่ก็ยังด้อยกว่านิดหน่อย รู้จักและสนิทกันได้เพราะว่าต้องลงแข่งบอลในกีฬากระชับมิตรตอนรับน้องนั่นแหละ ถึงได้สนิทกัน ไอ้นี่มันเด็กติดเกมของแท้ ตัวผอมๆ แห้งๆ เพราะเอาเงินไปเติมเกมหมดจนตัวเองแทบไม่มีจะแดก ดูเหมือนเด็กเนิร์ด เพราะแว่นตาอันใหญ่ ที่ประดับอยู่บนดวงหน้า แต่อย่าให้มันได้ถอดแว่นเชียว วัวตายควายล้ม หรรมตั้งน้ำเดินแน่นอนบอกเลย หน้าตาออกสาวยิ่งกว่าไอ้เจเสียอีกนะ ยิ่งตอนมันลงเล่นบอล ดึงชายเสื้อมาเช็ดเหงื่อ แม่มึง เลือดกำเดาไหลอาบท่วมสนามบอล
ต่อมาก็ไอ้แบงค์ ไอ้นี่มันกะล่อนนัก จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน สาวๆ ระวังไว้ เจ้าชู้ประตูดินเป็นที่สุด หญิงก็ได้ชายก็ดี ฟันดะเอาไม่เลือก ใครได้เป็นผัวคงเหนื่อยใจ วันๆ แม่งเอาแต่ม่อ มีรถขับไปส่งสาวๆ ของมันได้ทุกวัน ร่อนไปร่อนมา เรียนไม่ยุ่งมุ่งแต่เ_ด คือสโลแกน อย่างว่าล่ะนะ บ้านมันก็รวย ไม่ใช่ไก่กา คนวิ่งเข้าหามันก็เยอะ บางครั้งสับรางไม่ทันแม่งก็เอาไปสวิงควบเลย สันดานหมามาก ไม่พูดมาเจ็บคอ รู้แค่มันเหี้ยตัวพ่อก็พอ
คนสุดท้ายคือสายธาร หรือไอ้ธาร คุณชายประจำกลุ่ม นิสัยไม่ค่อยพูดมาก แลดูสุภาพชน ชอบยิ้มไมโครเวฟ เป็นผู้ชายละมุนอบอุ่น สงบนิ่งเหมือนสายน้ำตามชื่อมัน แต่อย่าให้ได้เปิดปากด่า ต้องมานั่งตีความว่ามันด่าว่าอะไร กว่าจะรับรู้ได้ก็ต่างคนต่างแยกย้ายแล้วนั่นละถึงจะรู้ตัวว่าโดนเข้าให้แล้ว ดูแล้วไม่น่ามาคบกับพวกผมได้ เพราะนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่มันก็ให้เหตุผลที่ว่า พวกผมมันตามโลกไม่ทัน จึงไม่ได้คิดที่จะหาผลประโยชน์จากมัน มันเลยสบายใจกว่าคบกับกลุ่มอื่น ตอนแรกที่ฟังก็งงๆ อ๋อๆ แหละ พึ่งจะมารู้ทีหลังว่าเป็นลูกคนใหญ่คนโต นามสกุลดังเชียวละ ไม่แปลกที่มันจะออกนิสัยคุณชาย แต่ก็เท่านั้น ไม่ได้หวังเกาะใครกินอยู่แล้ว ก็คบเป็นเพื่อนกันไป คิดอะไรมาก ไอ้ธารนี่ดีหน่อย ไม่ใช่คุณชายจ๋า ให้มันคลุกดินคลุกฝุ่น ทำงานทำกิจกรรมก็ไม่มีปริปากบ่นออกมาให้ได้ยิน
“มึงลอกเสร็จยัง เสร็จแล้วจะได้ขึ้น”
“แป๊บๆ ขออีกข้อ” ตอบกลับพร้อมปั่นสุดฤทธิ์ ไอ้เจก็ไม่ต่างกัน ไม่ใช่ว่าพวกผมโง่นะถึงต้องมาลอกการบ้านเพื่อน พวกผมแค่ไม่มีเวลาทำเฉยๆ เพราะเอาไปทำงานหมด กว่าจะเลิกงานก็แทบคลานขึ้นเตียง จนเวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ในที่สุดก็ทำเสร็จ ไอ้ธารก็เก็บของแล้วเดินนำออกไปก่อน ไอ้แบงค์ก็เดินลากไอ้บาสให้ไปขึ้นเรียนด้วยกัน เพราะมันเอาแต่ก้มหน้าก้มตากดเกมยิกๆ บนโทรศัพท์มือถือ ส่วนผมกับไอ้เจเดินรั้งท้ายของกลุ่ม
หลังจากการเรียนอันหนักหน่วงชวนอ้วกในช่วงเช้าจบลง ช่วงบ่ายผมก็มาเดินเตร็ดเตร่ตามข้างทางเพื่อหาหอพักให้ตัวเอง ไม่ว่าที่ไหน แค่ติดป้ายว่ามีห้องว่าง ก็จะแล่นเข้าไปถามไถ่ราคาไม่มีเกี่ยงงอนกับสภาพห้อง
“พี่ ค่าห้องลดอีกไม่ได้หรอครับ” วินเอ่ยถามกับผู้ดูแลหอ ซึ่งรายนี้ก็เป็นรายที่ 7 แล้วตั้งแต่เดินหามา บ้างก็ราคาแพงเกินไป บ้างก็ห้องเต็ม บางที่ก็ผู้ดูแลไม่อยู่ จนชักจะเบื่อหน่าย อยากเกาะพี่โจ้กินให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่ได้หรอกน้อง แถวนี้ที่ทางราคาแพง นี่ก็ราคานักศึกษาแล้วนะ ถ้าวัยทำงานราคาจะแพงยิ่งกว่านี้อีก”
“.....” นี่มึงยังจะแพงได้มากกว่านี้อีกหรอว่ะ.... ห้องมึงมีแค่ฟูกนอนกับห้องส้วมเนี้ยนะราคา 3,500!! วินถอนหายใจ แล้วพยักหน้ารับ ตบเท้าเดินออกจากห้องมา
ในขณะที่สองเท้าเดินก้าวอย่างอ่อนล้า ในครรลองสายตาก็หันไปเห็นป้ายห้องว่างติดประกาศอยู่ วินไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปติดต่อสอบถาม
“ขอโทษนะครับ พอดีเห็นว่ามีห้องว่างเหลืออยู่” วินหันไปพูดกับพนักงานของร้านเสริมสวยที่กำลังยืนหมักผมให้กับลูกค้าอยู่ พนักงานพยักหน้ารับว่าเข้าใจ ก่อนจะตะโกนร้องเรียกให้เจ้าของร้านเป็นคนมาพูดคุยเอง
“เจ๊เดียร์ มีคนสนใจห้อง”
“เออๆ” เสียงหวานที่ถูกบีบให้เล็กลงตอบรับกลับมา พร้อมกับการปรากฏร่างของคนๆ หนึ่ง หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเทาไฮไลท์ข้างในสีรุ้ง ซึ่งผมครึ่งหนึ่งถูกมัดรวบขึ้นแล้วมวยผมไว้ที่ด้านหลัง ปักด้วยปิ่นสีเงินรูปผีเสื้อ ที่ปลายนั้นเป็นพู่ห้อยระย้า แต่งกายด้วยเสื้อยืดกางยีนขาสั้น เพียงแต่สาวเจ้ามัดปมเสื้อไว้ที่ช่วงเอว กางเกงยีนก็ร่นต่ำจนเห็นของชั้นในที่เป็นเส้นสาย
“ว่าไงจ๊ะรูปหล่อ อยากได้ห้องพักหรอจ๊ะ”
“อ่า ครับ” เจ้าของร้านที่ชื่อเดียร์พยักหน้ารับ แล้วเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง พร้อมกับขวักมือเรียกเขาไปด้วย วินจึงก้าวเดินตามไปอย่างช้าๆ รู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังอย่างบอกไม่ถูก ความคุ้นเคยของร้านทำให้ต้องหันไปมองรอบๆ อย่างฉงนใจ
“มานั่งนี่เร๊ววววว” เดียร์จีบปากจีบคอพูด ก่อนจะนั่งไขว่ห้าง แอ่นอกให้นู่นเด่นล่อตาล่อใจ จนกระทั่งวินมาทรุดตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เดียร์ก็เริ่มอธิบาย
“ห้องว่างตอนนี้มีอยู่ 3 ห้อง ตอนนี้ชั้น 2 มีว่างอยู่ 1 ห้อง ชั้น 3 อีก 2 ห้อง ส่วนชั้น 1 อย่างที่เห็น ว่าเปิดเป็นร้านเสริมสวย แต่ไม่ต้องห่วงนะ ประตูทางขึ้นจะอยู่ข้างนอกด้านข้างร้าน ใช้แบบคีย์การ์ดเสียบ ถึงจะเข้ามาได้ ราคาห้องก็ 3,800 ค่ามัดจำ 3 เดือน ค่าจองห้อง 1,500” คนเป็นเจ้าของว่าพร้อมกับเปิดให้ดูสภาพห้องที่ว่า วินที่ได้ยินราคาก็ถึงกับอึกอัก ก่อนจะอ้อมแอ้มถามออกไป
“ห้องราคาถูกสุดเท่าไหร่ครับ?”
“ที่รักยังเรียนอยู่ใช่รึเปล่า” เดียร์เท้าคางมอง นัยน์ตาเป็นประกายแวววาว ในขณะที่คนถูกถามพยักหน้ารับ
“ครับ พอจะลดค่าเช่าห้องให้อีกได้ไหมครับ”
“อื้มมมมม แถวนี้ราคาห้องก็พอๆ กันหมดละนะ แต่ถ้าหนูยังเรียนอยู่ พี่ลดให้ก็ได้ เป็น 3,500 แต่ถ้าอยากให้มีคนเลี้ยง สนใจมาเป็นผัวพี่ไหมจ๊ะ เข้าพักฟรีพร้อมค่าเลี้ยงดู” เดียร์พูดด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่คนฟังชักจะหนาวๆ ร้อนๆ มองคนตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
“ผมขอขึ้นไปดูห้องได้ไหมครับ”
“ได้สิ” เดียร์พยักหน้ารับ แล้วผุดตัวลุกขึ้น หยิบคว้ากุญแจของทั้ง 3 ห้องมาถือไว้ในมือ แล้วพาเดินออกไปดูที่ด้านข้าง พาเดินดูห้องแรกที่ชั้น 2
“ห้องนี่มันอยู่ตรงกลางทางเดินพอดีน่ะ สองข้างห้องเลยไม่มีกระจก ดูทึบๆ ไปหน่อย แต่ว่ามีระเบียงให้ พอรับลมได้บ้าง อ้อ ห้องทุกห้องเป็นห้องแอร์หมดเลยนะ ที่นี่ไม่มีห้องพัดลม พวกเฟอร์ก็พื้นฐานแหละนะ เตียง ตู้เสื้อผ้า โซฟา ชั้นวางของ โต๊ะตั้งทีวี นอกจากนี้อยากได้อะไรก็ต้องหามาเองแล้วล่ะ อาหารการกินแถวนี้ก็ไม่ได้แย่ เพราะมีตลาดอยู่ใกล้ๆ ร้านค้าก็เยอะ” วินเดินเข้าไปดูรอบๆ ห้องเป็นการสำรวจ ลองเปิดปิดไฟ เข้าไปดูในห้องน้ำ ก่อนจะขอดูห้องถัดไปที่ชั้น 3
“ที่ชั้น 3 ก็มีห้องว่าง 2 ห้อง เป็นห้องเยื้องๆ ไปทางขวาหน่อย อยู่ตรงกลางเหมือนกัน เพราะงั้นก็จะเหมือนกับห้องเมื่อกี้ พี่ว่าไปดูอีกห้องหนึ่งดีกว่านะ ห้องนี้อยู่ชิดอีกฝังหนึ่ง เราน่าจะชอบ” เดียร์หันมายกยิ้มให้ แล้วพาเดินไปที่อีกฝั่งหนึ่งของชั้น 3 ซึ่งอยู่ทางซ้าย
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปราวกับมีมนต์สะกด วินกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความชอบใจ ที่ผนังฝั่งซ้ายมีหน้าต่างติดอยู่ หากแต่ตอนนี้ถูกบดบังด้วยผ้าม่านสีครีม 2 ชั้น ทำให้ดูทึบไปสักหน่อย เดียร์เห็นคนรุ่นน้องมองจ้องที่หน้าต่างก็ยกยิ้ม แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างออกให้ แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านมา ทำให้ห้องที่ดูทึบในตอนแรกกลับสว่างมากขึ้น ดูโปร่งโล่งสบาย แถมอยู่ที่ชั้น 3 จึงมีลมเย็นๆ พัดมาเป็นระยะ นอกจากนี้แล้ว เมื่อมองลอดออกไป จะเห็นสวนขนาดใหญ่ของบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้มีสีเขียวชุ่มช่ำสบายตา แทนที่จะเป็นภาพของตึกสูง จนทำให้วินยกยิ้มออกมาบางเบา
ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์แบบเดียวกันกับห้องก่อนหน้า พอเดินไปดูที่ห้องน้ำและริมระเบียงก็เป็นเหมือนกัน แต่ภายในห้องนี้กลับมีการติดตั้งพัดลมที่เพดานด้านบน วินเงยหน้ามองแล้วก็ฉงนใจ
“พัดลมนั่น....”
“อ้อ ผู้เช่าคนเก่าเขาบอกว่ามีแอร์ก็ดี แต่ค่าไฟมันก็แพง เขาจะเอาพัดลมตั้งพื้นมาใช้ก็เกะกะพื้นที่ ก็เลยเอาพัดลมติดเพดานมาใช้ พอตอนย้ายออกเขาก็ยกให้ไปเลยน่ะ ถ้าน้องเอาห้องนี้พี่ก็คิดราคาเท่าเดิมแหละ ไม่ต้องห่วง”
“ผมชอบห้องนี้” วินยกยิ้ม พัดลมติดเพดานตั้งสองตัว เรียกได้ว่าไม่ต้องเปิดแอร์เลยก็ยังได้ แถมเหมาะกับคนที่มีค่าใช้จ่ายเยอะแยะมากมายอย่างเขาที่สุด
“งั้นตกลงว่าเอาห้องนี้เน๊อะ” วินพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมาต่อรองอีกหน
“พี่ครับ ราคามันลดลงได้อีกไหมครับ” วินทำหน้าลำบากใจ ในขณะที่เดียร์ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ได้แล้วอ่าค่ะน้อง ถึงพี่จะเป็นเจ้าของร้านเสริมสวย แต่พี่แค่ร่วมหุ้นทำกับเพื่อนเฉยๆ ส่วนห้องหับพวกนี้พี่แค่ช่วยมันดูเฉยๆ หากน้องอยากต่อรองราคาก็คงต้องไปคุยกับมันเองแล้วล่ะ” เดียร์พูดด้วยความลำบากใจ เพราะว่าตัวเองนั้นลงขันร่วมกันเปิดร้านกับเพื่อนสาว แต่ว่าเรื่องของตึกอาคาร ห้องพักที่เปิดให้เช่า เป็นธุรกิจของบิ้วตี้เพียงคนเดียว เรียกง่ายๆ ว่า ตึกนี้ทั้งตึกมีบิ้วตี้เป็นเจ้าของ ส่วนตัวเดียร์เองเหมือนขอเช่าที่ทำร้านเสริมสวยร่วมกันเฉยๆ แถมห้องพักก็ยังต้องจ่ายให้มันเหมือนผู้เช่าคนอื่นๆ เพียงแต่ราคาแตกต่างกันเท่านั้นเอง
“อ่า ครับ”
แกร๊ก!
ยังไม่ทันพูดจบดีนัก เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เรียกให้คนทั้งสองภายในห้องหันไปสนใจ ก่อนที่จะมีใครบางคนโผล่หัวเข้ามา ทำให้เห็นเรือนผมสีดำสนิทแล้วทำไฮไลท์สีแดงที่ปลายผมนั้นอย่างชัดเจน
“อิเดียร์ พาแขกมาดูห้องหร-” คำพูดพลันกลืนหายไปจากลำคอ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นเป็นใคร ก็ส่งเสียงร้องเรียกดังก้องไปทั่ว
“นุ้งวิ๊นนนนนนนนนน” หญิงสาวประเภทสองวิ่งเข้าหาพร้อมอ้าแขนออกกว้าง ตั้งท่าเข้ามาโอบกอดหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่ วินเองก็มีปฏิกิริยาตอบรับที่รวดเร็วพอๆ กัน โดยการกระโดดขึ้นเล็กน้อยแล้ววาดขาออกไปในทันที!
“อั่ก!!”
ตุ้บ!!
“อีบิ๊วววววววววววว” เสียงกรีดร้องของคนที่ทำหน้าที่พาชมห้องร้องเสียงหลง เรียกเพื่อนสาวคนสนิทที่ตอนนี้ลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น น้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกขึ้นจนมีสภาพไม่น่าดู ต่างจากคนต้นเรื่องที่กลับมายืนกะพริบตาปริบๆ ก้มลงมองที่หลังเท้าของตัวเองเห็นรอยแดงเป็นปื้น ถึงได้รู้ว่าตัวเองกระโดดเตะก้านคออีกฝ่ายเข้าให้แล้ว......
